สำหรับตัวผมขอบอกเลยว่ายากคับ เพราะปัญหาหลักๆ ของการใช้ชีวิตในต่างประเทศ คือเรื่อง ภาษา (ซึ่งตัวผมเองเรียกได้ว่า ภาษาอังกฤษพิการซ้ำซ้อนคับ 555) และมันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่จะต้องผ่านมันไปให้ได้
ขอย้อนไปนิดหนึ่งนะครับว่าผมไปอเมริกาทำไม? ณ ตอนนั้นผมเป็นวัยรุ่นจบปริญญาตรีใหม่ๆ มีความฝันเหมือนกับหลายๆคนว่า จะไปเรียนต่อ ป.โท เมืองนอก แล้วกลับมาทำงานในไทย มันคงดูเท่ห์มาก จึงขอที่บ้านช่วยดำเนินการให้หน่อย แต่เนื่องจากทางบ้าน มีฐานะทางการเงินปานกลางจึงตกลงกันไว้ว่า จะดำเนินการให้แต่พอไปอยุ่ที่เมกาแล้ว ให้หาเงินส่งตัวเองเรียนให้ได้นะ ด้วยความที่ไฟแรง และอยากไปหาประสบการณ์ เรียนด้วย ทำงานด้วย เที่ยวด้วย (ดูหนังเรื่อง หนีตามกาลิเลโอมา หึหึ) จึงตอบตกลง แต่เนื่องด้วยไม่ได้สอบ Toefl ไป จึงต้องลง คอร์สเรียนภาษาที่เมกา และเพื่อที่จะให้ตัวเองเรียนจบเร็วที่สุด จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมจากไทยให้มากที่สุด นั่นคือต้องปิดจุดอ่อน ด้านภาษาของตัวเอง โดยการ ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาอ่าน โหลดโปรแกรมฝึกพูดมาใช้ โหลดแอฟฯ มาดูศัพท์และหัดทำข้อสอบ ซึ่งทำให้เรามั่นใจระดับหนึ่ง
แต่พอไปถึงอเมริกา เท่านั้นแหละครับ และเจอฝรั่งทักมาว่า "How are you doing?" โรคภาษาอังกฤษพิการซ้ำซ้อนกำเริบเลยครับ (ทุกอย่างที่เตรียมตัวมามันอยู่ไหน เท่านั้นยังไม่พอคับ มันดันลักพาสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่ประถมไปด้วย T_T) ตอบไม่เป็น เลยโชว์วัฒนธรรมไทยไป (สยามเมืองยิ้ม) แล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย 5555
โดยอาทิตย์แรกไปถึง ต้องไปเรียนรู้เส้นทางไปโรงเรียนสอนภาษา เรียนรู้การนั่งรถเมล์ รถไฟฟ้า โชคยังดีที่มีพี่สาวที่ไปถึงก่อนคอยช่วยเหลือ ทำให้ผ่านไปได้แบบมั่วๆๆ หุหุ
และพอเข้าอาทิตย์ที่สอง ต้องไปสอบวัดระดับความรู้ด้านภาษา เพื่อทางโรงเรียนจะได้จัดห้องเรียนและระดับชั้นได้เหมาะสมกับความรู้เรา และขณะทำแบบทดสอบอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง มั่วบ้าง จริงบ้าง ก็คิดในใจว่า "ขอเริ่มเรียนระดับแรกสุดเลยได้มั้ยวะ เพราะรู้ว่าตัวเองโง่ภาษาอังกฤษมาก" หลังจากนั้นต้องสัมภาษณ์ต่อ (จะรอดมั้ยเนี่ย :o) ทำให้โรคกลัวฝรั่งกำเริบอีก แต่เนื่องจากครูฝรั่งเค้ารู้ว่าเด็กที่มาเรียนที่โรงเรียนสอนภาษามาจากหลายประเทศและไม่เก่งภาษาอังกฤษ (ถ้าเก่งจะมาเรียนมะ หะหะ) เค้าเลยค่อยๆพูด เราก็ตอบมั่วๆ สั้นๆ เป็นคำๆไป ตามความสามารถที่ตอบได้ ณ ขณะนั้น และผลสอบที่ออกมากลับผิดคาดคับ ผมได้คะแนนค่อนข้างสูง เลยทำให้ไม่ต้องเรียนระดับแรก ใจหนึ่งก็แอบดีใจ (ขอบคุณประเทศไทยที่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก และมันอยู่กับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว) แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วเราจะรอดมั้ยเนี่ย!!!! พอเข้าไปเรียนวันแรก ก็รู้เลยคับว่า กูไม่รอด 5555 เพราะฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่อง พูดอะไรกันอะ???? นั่นเป็นเพราะว่า ประเทศไทยเน้นสอนแต่แกรมม่า ส่วนการพูด การฟัง และการเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว ง่อย!!!! รับประทานคับ ทำให้ทั้งวันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ พอวันต่อมา ผมตรงดิ่งไปหาอาจารย์เลยคับ และบอกเค้าไปว่า "มีทางไหนที่ผมจะเก่งภาษาอังกฤษได้บ้าง" เค้าบอกว่ามีหลายวิธีมาก ส่วนจะมีวิธีไหนบ้างนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลังนะคับ.....
รถเมล์พาเรียนคับ
โดยอาทิตย์แรกไปถึง ต้องไปเรียนรู้เส้นทางไปโรงเรียนสอนภาษา เรียนรู้การนั่งรถเมล์ รถไฟฟ้า โชคยังดีที่มีพี่สาวที่ไปถึงก่อนคอยช่วยเหลือ ทำให้ผ่านไปได้แบบมั่วๆๆ หุหุ
โรงเรียนของหนู
และพอเข้าอาทิตย์ที่สอง ต้องไปสอบวัดระดับความรู้ด้านภาษา เพื่อทางโรงเรียนจะได้จัดห้องเรียนและระดับชั้นได้เหมาะสมกับความรู้เรา และขณะทำแบบทดสอบอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง มั่วบ้าง จริงบ้าง ก็คิดในใจว่า "ขอเริ่มเรียนระดับแรกสุดเลยได้มั้ยวะ เพราะรู้ว่าตัวเองโง่ภาษาอังกฤษมาก" หลังจากนั้นต้องสัมภาษณ์ต่อ (จะรอดมั้ยเนี่ย :o) ทำให้โรคกลัวฝรั่งกำเริบอีก แต่เนื่องจากครูฝรั่งเค้ารู้ว่าเด็กที่มาเรียนที่โรงเรียนสอนภาษามาจากหลายประเทศและไม่เก่งภาษาอังกฤษ (ถ้าเก่งจะมาเรียนมะ หะหะ) เค้าเลยค่อยๆพูด เราก็ตอบมั่วๆ สั้นๆ เป็นคำๆไป ตามความสามารถที่ตอบได้ ณ ขณะนั้น และผลสอบที่ออกมากลับผิดคาดคับ ผมได้คะแนนค่อนข้างสูง เลยทำให้ไม่ต้องเรียนระดับแรก ใจหนึ่งก็แอบดีใจ (ขอบคุณประเทศไทยที่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก และมันอยู่กับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว) แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วเราจะรอดมั้ยเนี่ย!!!! พอเข้าไปเรียนวันแรก ก็รู้เลยคับว่า กูไม่รอด 5555 เพราะฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่อง พูดอะไรกันอะ???? นั่นเป็นเพราะว่า ประเทศไทยเน้นสอนแต่แกรมม่า ส่วนการพูด การฟัง และการเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว ง่อย!!!! รับประทานคับ ทำให้ทั้งวันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ พอวันต่อมา ผมตรงดิ่งไปหาอาจารย์เลยคับ และบอกเค้าไปว่า "มีทางไหนที่ผมจะเก่งภาษาอังกฤษได้บ้าง" เค้าบอกว่ามีหลายวิธีมาก ส่วนจะมีวิธีไหนบ้างนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลังนะคับ.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น