วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าสู่กัน (อเมริกา) ฟัง 3

    สิ่งที่ครูฝรั่งบอกเกี่ยวกับ การที่จะเก่งภาษาอังกฤษนั้น สิ่งสำคัญคือ "ตัวของเราเองนี่แหละ" ที่ต้องคอยกระตุ้น และใฝ่เรียนเอง โดยเค้าและนำมาว่า
   1. บอกกับตัวเองให้เลิกกลัวฝรั่งก่อนคับ คิดซะว่าฝรั่งก็คือคนปกตินี่แหละ 
   2. ลืมทุกอย่างที่เคยเรียนมาให้หมดก่อน แล้วค่อยมาเริ่มเรียนรู้ใหม่
   3. เวลาไปไหนมาไหน และได้ยินพวกฝรั่งคุยกัน ให้พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในบทสนทนานั้นให้ได้ และคอยฟังว่า เค้าคุยเรื่องอะไรกัน
   4. ฝึกฟังจาก youtube โดยพิมพ์ ไปว่า "voa special english" ซึ่งจะเป็นช่องสอนภาษาที่ดีอันหนึ่งคับ
   5. ฝึกพูดโดยไม่ต้องกลัวผิด เพราะฝรั่งที่เมกาเค้าเปิดใจ และตั้งใจรับฟังคนต่างชาติ เพราะประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่มีหลากหลายเชื้อชาติมาก
   และอันสุดท้าย เป็นสิ่งที่ผมอยากแนะนำคับ คือ ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ ศัพท์แสลงของพวกฝรั่ง ตอนแรกคิดว่าจะซื้อมาอ่านเล่นๆ เพราะว่าเคยซื้อหนังสือเกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่มันอิงวิชาการมาอ่าน แต่พอจะนำมาใช้จริงๆ ไม่ค่อยได้เรื่อง แต่หนังสือเล่มที่กล่าวมาข้างต้น มีประโยชน์สำหรับผมมากครับ
เล่มนี้เลยคับ
    และหลังจากที่ผ่านเดือนแรกไปแบบงงๆ โง่ๆ พอเข้าเดือนที่ 2-3 ภาษาอังกฤษของผมเริ่มดีขึ้นคับ เข้าใจสิ่งที่ฝรั่งพูดมากขึ้น ความกลัวฝรั่งน้อยลง เริ่มพูดเป็นประโยคได้บ้าง และพอ 6 เดือนผ่านไป เริ่มด่าฝรั่งได้บ้าง 5555 (หลังจากที่อัดอั้นมานาน) และพอ 1 ปี ผมก็พูดคุยกับฝรั่งรู้เรื่องคับ แต่ก็ไม่ถึงกลับลื่นปืด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคนนะคับ และผมพอเป็นกำลังใจให้กับคนที่มีความตั้งใจจริงที่อยากจะพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะขนาดผมโง่มากๆ ผมยังพูดได้ พวกคุณก็ต้องพูดได้คับ (สู้ๆ @o@)

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าสู่ (กัน=อเมริกา)ฟัง 2

ขออภัยที่หายไปนานนะคับ และหลังจากที่ครั้งก่อนผมได้เล่าไปแล้วว่า ถ้าจะไปเมกานั้น มีการขอวีซ่าได้หลายแบบ ส่วนวันนี้ผมก็จะมาเล่าถึงการปรับตัว และความรู้สึกของคนที่ไปอยู่แรกๆว่ามันเป็นยังไง
         สำหรับตัวผมขอบอกเลยว่ายากคับ เพราะปัญหาหลักๆ ของการใช้ชีวิตในต่างประเทศ คือเรื่อง ภาษา (ซึ่งตัวผมเองเรียกได้ว่า ภาษาอังกฤษพิการซ้ำซ้อนคับ 555) และมันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่จะต้องผ่านมันไปให้ได้ 
         ขอย้อนไปนิดหนึ่งนะครับว่าผมไปอเมริกาทำไม? ณ ตอนนั้นผมเป็นวัยรุ่นจบปริญญาตรีใหม่ๆ มีความฝันเหมือนกับหลายๆคนว่า จะไปเรียนต่อ ป.โท เมืองนอก แล้วกลับมาทำงานในไทย มันคงดูเท่ห์มาก จึงขอที่บ้านช่วยดำเนินการให้หน่อย แต่เนื่องจากทางบ้าน มีฐานะทางการเงินปานกลางจึงตกลงกันไว้ว่า จะดำเนินการให้แต่พอไปอยุ่ที่เมกาแล้ว ให้หาเงินส่งตัวเองเรียนให้ได้นะ ด้วยความที่ไฟแรง และอยากไปหาประสบการณ์ เรียนด้วย ทำงานด้วย เที่ยวด้วย (ดูหนังเรื่อง หนีตามกาลิเลโอมา หึหึ) จึงตอบตกลง แต่เนื่องด้วยไม่ได้สอบ Toefl ไป จึงต้องลง คอร์สเรียนภาษาที่เมกา และเพื่อที่จะให้ตัวเองเรียนจบเร็วที่สุด จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมจากไทยให้มากที่สุด นั่นคือต้องปิดจุดอ่อน ด้านภาษาของตัวเอง โดยการ ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาอ่าน โหลดโปรแกรมฝึกพูดมาใช้ โหลดแอฟฯ มาดูศัพท์และหัดทำข้อสอบ ซึ่งทำให้เรามั่นใจระดับหนึ่ง 
       แต่พอไปถึงอเมริกา เท่านั้นแหละครับ และเจอฝรั่งทักมาว่า "How are you doing?" โรคภาษาอังกฤษพิการซ้ำซ้อนกำเริบเลยครับ  (ทุกอย่างที่เตรียมตัวมามันอยู่ไหน เท่านั้นยังไม่พอคับ มันดันลักพาสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่ประถมไปด้วย T_T) ตอบไม่เป็น เลยโชว์วัฒนธรรมไทยไป (สยามเมืองยิ้ม) แล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย 5555
รถเมล์พาเรียนคับ

       โดยอาทิตย์แรกไปถึง ต้องไปเรียนรู้เส้นทางไปโรงเรียนสอนภาษา เรียนรู้การนั่งรถเมล์ รถไฟฟ้า โชคยังดีที่มีพี่สาวที่ไปถึงก่อนคอยช่วยเหลือ ทำให้ผ่านไปได้แบบมั่วๆๆ หุหุ

โรงเรียนของหนู
   
        และพอเข้าอาทิตย์ที่สอง ต้องไปสอบวัดระดับความรู้ด้านภาษา เพื่อทางโรงเรียนจะได้จัดห้องเรียนและระดับชั้นได้เหมาะสมกับความรู้เรา และขณะทำแบบทดสอบอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง มั่วบ้าง จริงบ้าง ก็คิดในใจว่า "ขอเริ่มเรียนระดับแรกสุดเลยได้มั้ยวะ เพราะรู้ว่าตัวเองโง่ภาษาอังกฤษมาก" หลังจากนั้นต้องสัมภาษณ์ต่อ (จะรอดมั้ยเนี่ย :o) ทำให้โรคกลัวฝรั่งกำเริบอีก แต่เนื่องจากครูฝรั่งเค้ารู้ว่าเด็กที่มาเรียนที่โรงเรียนสอนภาษามาจากหลายประเทศและไม่เก่งภาษาอังกฤษ (ถ้าเก่งจะมาเรียนมะ หะหะ) เค้าเลยค่อยๆพูด เราก็ตอบมั่วๆ สั้นๆ เป็นคำๆไป ตามความสามารถที่ตอบได้ ณ ขณะนั้น และผลสอบที่ออกมากลับผิดคาดคับ ผมได้คะแนนค่อนข้างสูง เลยทำให้ไม่ต้องเรียนระดับแรก ใจหนึ่งก็แอบดีใจ (ขอบคุณประเทศไทยที่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก และมันอยู่กับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว) แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วเราจะรอดมั้ยเนี่ย!!!!  พอเข้าไปเรียนวันแรก ก็รู้เลยคับว่า กูไม่รอด 5555 เพราะฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่อง พูดอะไรกันอะ???? นั่นเป็นเพราะว่า ประเทศไทยเน้นสอนแต่แกรมม่า ส่วนการพูด การฟัง และการเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว ง่อย!!!! รับประทานคับ ทำให้ทั้งวันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ พอวันต่อมา ผมตรงดิ่งไปหาอาจารย์เลยคับ และบอกเค้าไปว่า "มีทางไหนที่ผมจะเก่งภาษาอังกฤษได้บ้าง" เค้าบอกว่ามีหลายวิธีมาก ส่วนจะมีวิธีไหนบ้างนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลังนะคับ.....
     

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

เล่าสู่ (กัน=อเมริกา)ฟัง

สวัสดีชาวไทยทุกท่านคับ นี่เป็น Blog แรกของผมที่อยากจะเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟังถึงเรื่องราวการใช้ชีวิตในอเมริกา ถึงมันจะไม่ใช่เวลาที่มันยาวนานมากแต่ก็อยากจะเล่าสู่กันฟังนะ อิอิ
- ผมจะข้ามขั้นตอนการทำเอกสารและการสัมภาษณ์ไปนะคับ เพราะ มีคนอื่นเขียนไว้เยอะแล้ว 
     ซึ่งใครๆก็บอกว่าการขอวีซ่าไปเมกามันยากมากๆ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่อยากอย่างที่คิดเลย (บางคนเริ่มหมั่นไส้ 55)เพียงแต่ว่าขั้นตอนมันเยอะไปหน่อย และขอเพียงแค่เอกสารของคุณครบตามที่เค้ากำหนด บวกกับการเตรียมตัวตอบคำถามให้ดี ผมคิดว่า 90% นะที่ผ่าน
     และในวันนี้ผมจะมาเล่าถึงลู่ทางที่เป็นที่นิยมสำหรับคนที่อยากมาเมกาให้ฟังซึ่งมีหลายวิธีมาก ดังนี้
   1.การขอวีซ่านักเรียน ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ เช่น นักเรียนแลกเปลี่ยน นักเรียนธรรมดา เป็นต้น ผมคิดว่าเป็นวีซ่าที่ของ่ายมาก สำหรับคนที่เรียนจบใหม่ หรือคนที่ทำงานแต่อายุยังไม่เกิน 40 ปีนะคับ
    2.การขอวีซ่านักท่องเที่ยว แต่การขอวีซ่าประเภทนี้จะอยู่ในเมกาได้ไม่เกิน 6 เดือนคับ และจะถูกจับตามองมากสุด เพราะเป็นวีซ่าที่หนีมากที่สุด
    3.การขอวีซ่าที่มาตามแฟน สามี ภรรยาหรืออะไรสักอย่างนี่แหละคับผมก็จำไม่ได้ สำหรับคนที่มีแฟน สามี ภรรยาจริงๆก็ดีไป แต่สำหรับคนที่ไม่มี ก็จะใช้การจ้างจดทะเบียน ซึ่งมันผิดกฎหมาย (ระวังคุกนะคับ กฎหมายที่เมกาแรงมาก)แต่ก็แอบทำกัน หุหุ  
    4.การขอวีซ่าที่มาตามงานบุญ เช่น มาทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ฯลฯ (อันนี้ผมพึ่งมาได้ยินตอนมาเมกานี่แหละคับ เจ๋งโคตร 555) แต่ขั้นตอนการขอวีซ่า ผมก็ไม่ทราบนะครับ (รอผู้รู้มาช่วยตอบ)
   เอาเป็นว่าการขอวีซ่ามาเมกาจริงๆมันไม่ยากหรอกคับ มันมีอีกหลายวิธีมากมายสำหรับคนที่อยากมาจริงๆ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปหา agency แต่ข้อเสียคือต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นอีกหน่อย และราคาก็แล้วแต่ agency คับ


    แต่สิ่งที่ยากกว่า คือการใช้ชีวิตอยู่ในเมกาช่วงแรกๆ ซึ่งผมจะแบ่งคนที่มาเมกาออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ นะคับ คือ 
   1. คนที่มาเรียน (ป.โทนะคับ)แบ่งเป็นอีก 2 กลุ่มย่อยคับ คือ
        1.1 คนที่มาเรียน โดยสอบ toefl ที่ไทยมาแล้ว (คือเก่งภาษามาจากไทย) คนกลุ่มนี้พอมาถึงก็จะเข้ามหาวิทยาลัยเลย อาจจะไปปรับพื้นฐานเรื่องภาษาเล็กน้องสักเดือนถึงสองเดือน
        1.2 คนที่มาเรียนภาษาที่นี่ (ไม่เก่งภาษา) คนกลุ่มนี้จะต้องมาเข้าโรงเรียนสอนภาษาก่อน อย่างเก่งก็ประมาณ 3 เดือน และอย่างช้าก็ประมาณ 2 ปี แล้วค่อยย้ายไปเข้ามหาวิทยาลัย
        โดยนักเรียนสองกลุ่มนี้ก็จะมีกลุ่มที่เป็นคนรวย และคนที่ไม่รวย ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วจะทำงานกันทุกคน (ยกเว้นคนที่รวยมากๆๆสบายตัวเลยไม่ต้องทำงาน หุหุ) คนรวยก็จะทำงานน้อยหน่อย ทำแค่พอซื้อของ หรือช่วยทางบ้านจ่ายค่าเรียนค่าห้องพัก (ยังมีจิตสำนึก เหอะๆ) ส่วนคนที่ไม่รวย ก็จะต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจ่ายทุกสิ่งทุกอย่าง (ฟังแล้วเหนื่อยๆนะ) 

   2. คนที่มาทำงาน ก็แบ่งเป็นอีก 2 กลุ่มย่อยเหมือนกันคับ
       2.1 คนที่มาทำงานแบบไม่ขายแรงงาน คือมาทำงานโดยมีเงินมาจากไทยแล้วมาซื้อกิจการหรือมาลงทุนที่เมกา หรือมาโดยที่บริษัทส่งมา คนกลุ่มนี้สบายคับ ค่าจ้าง ค่าแรงแพงเท่ากับพวกไอ้กันคับ (คนกลุ่มนี้ผมจะข้ามไปนะคับ เพราะ อิจฉา 555)
       2.2 คนที่มาขายแรงงาน (แบบคนพม่าในไทย) จะมีทั้งที่เข้ามาแบบได้วีซ่ามาทำงานจริงๆโดยร้าน หรือบริษัทที่เมการับรองให้ และคนที่เข้ามาแบบนักท่องเที่ยวหรือนักเรียน จากนั้นก็หนีวีซ่า (คนไทยเรียกพวกที่หนีวีซ่าว่า Robinhood) คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทำงานหนักสุดและส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอายุ ซึ่งอาชีพหรืองานสุดฮิตของคนกลุ่มนี้ คือ ร้านอาหาร คับ
     ส่วนรายละเอีดด้านอื่นๆของการใช้ชีวิตในเมกา เช่น การสมัครงาน การทำงาน การอยากอยู่เมกาแบบถาวร หรือการได้สัญชาติเมกาต้องทำอย่างไร ความรู้สึกตอนแรกๆที่มาอยู่เป็นยังไงบ้าง และเหตุผลของคนที่อยู่แล้วไม่อยากกลับไทย หรือคุณคิดดีแล้วหรือที่จะมาเมกาเพราะมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดนะจะบอกให้ฯลฯ ผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลังนะคับ สำหรับ blog แรกขอพอแค่นี้ก่อนนะคับ จุ๊บุ๊ๆ ^_^ ผิดพลาดอะไรขออภัยและแนะนำด้วยนะครับ